บทความควรรู้

ประโยชน์ของใยอาหาร

1 ช่วยลดสิ่งสกปรกในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ 
2 ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด 
3 ช่วยปรับสมดุลปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด 
4 ช่วยลดปัญหาท้องผูก 
5 ช่วยให้ระบบย่อยอาหารเป็นปกติ 
6 ช่วยลดปริมาณสารพิษในร่างกาย
7 มีสารต้านอนุมูลอิสระ
8 ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
9 แก้ปัญหา “ริดสีดวงทวารหนัก”

โรคท้องผูก เป็นต้นเหตุของอาการต่อไปนี้
1. ปวดหัวบ่อย หงุดหงิดประจำ สมองมึนงงคิดอะไรไม่ออก นอนหลับยาก
2. ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดต้นคอ คอแข็งหันไม่สะดวกหูอื้อ
3. อ่อนเพลียง่าย ป่วยบ่อย รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนจะเป็นไข้ มือเท้าเย็น
4. ท้องอืดเป็นประจำ ท้องเสียง่าย ปวดท้องบ่อย แน่นท้อง มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้
5. ผิวพรรณไม่สดใส หมองคล้ำ ผิวหยาบกร้าน เป็นสิว ฝ้า
6. มักเกิดแผลร้อนใน มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว ผายลมบ่อย
7. ไส้ติ่งอักเสบ โรคอ้วน (พุงโต) หรือผอมเกินไป ท้องผูก ริดสีดวงทวารป็น 8. เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ปัสสาวะไม่ใส ไตมีปัญหา


ประโยชน์ของการ DETOX คือการล้างลำไส้ (DETOX) จะช่วยทำความ สะอาดและขจัดสิ่งสกปรกของเสีย กาก อาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้าง อยู่ในลำไส้ให้หมดไป เนื่องจากของเสียเหล่านี้ มักถูกขับถ่ายออกได้ไม่หมดจึงตกค้างอยู่ ในลำไส้ บางครั้งจะเกาะติดอยู่ตามผนัง ของลำไส้เป็นตะกรัน เป็นอุจจาระ เนื้อเยื่อของเซลล์ที่ตาย พยาธิและน้ำ เมือกที่ถูกสะสมไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นผล ร้ายต่อร่างกายจนทำให้เกิดอาการต่างๆ ของโรค

1. ช่วยทำความสะอาดลำไส้ อุจจาระ แบคทีเรียที่เป็นโทษต่อร่างกาย และสารพิษต่างๆจะถูกชะล้างออกไป ซึ่งในระยะยาวร่างกายก็จะไม่เกิด การสะสมสารพิษเหล่านี้ เมื่อสารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปลำไส้จะ สามารถทำงานได้ตามปกติ
2. เป็นการบริหารกล้ามเนื้อลำไส้ ของเสียที่ตกค้างมีผลทำให้ลำไส้อ่อน แอลงและทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ การล้างลำไส้จึงเป็นการช่วยส่งเสริม กล้ามเนื้อลำไส้ให้ทำงานได้มากขึ้น โดยปกติลำไส้มีหน้าที่กำจัดของเสีย ก็อาจเป็นไปโดยไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อลำไส้ที่แข็งแรงและทำงานได้ อย่างเป็นจังหวะจะช่วยทำให้การผลักดันของเสีย เช่น กากอาหารและ อุจจาระออกจากลำไส้ได้เร็วขึ้น และไม่เกิดสารตกค้างจนกลายเป็นพิษ
3. ทำให้ลำไส้มีขนาดเป็นปกติ เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ จะส่งผล ให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไป ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา การสวนล้างลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัว ช่วยลด อาการบวมหรือโป่งพองของลำไส้ อันเนื่องมาจากการที่มีของเสียอุดตัน บริเวณนั้น ทำให้ลำไส้มีรูปร่างปกติตามธรรมชาติ ซึ่งการรักษาทางยา หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อาจทำให้ลำไส้กลับคืนสู่รูปทรงปกติได้เพียง ระยะสั้นเท่านั้น
4. กระตุ้นจุดตอบสนองของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
ซึ่งอวัยวะทุก ส่วนจะมีการทำงานเชื่อมต่อกับลำไส้โดยจุดตอบสนอง การล้างลำไส้เป็นการช่วยกระตุ้นจุดที่ว่านี้ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกาย โดยรวม เช่น ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ไต ต่อมน้ำเหลืองและการหมุนเวียน ของเลือด เป็นต้น

5. ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% การสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือแร่ ร่างกายโดยรวมจะ สามารถดูดซึมน้ำเหล่านั้นไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ เพื่อให้เซลล์เหล่านั้น ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับละลายและเจือจาง เมือกที่สะสมอยู่ในผนังลำไส้ให้ขับออกได้สะดวกขึ้น

มะเร็งลำไส้
มะเร็งลำดับต้นๆ ของคนวันนี้ มะเร็งเป็นโรคร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต มะเร็งลำไส้ใหญ่ก็เช่นกัน โดยมะเร็งชนิดนี้เป็นโรคมะเร็ง ที่พบบ่อยเป็นลำดับต้นๆ ก่อนอื่นคงต้องทำความรู้จักกับลำไส้ใหญ่กันก่อน ว่าลำไส้ใหญ่นั้นเป็นส่วนปลายๆ ของระบบทางเดินอาหาร โดยต่อมาจากลำไส้เล็ก แล้วไปต่อกับ ส่วนไส้ตรง (Rectum) ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่ทวารหนัก มะเร็งของลำไส้ใหญ่เกือบทั้งหมดจะเริ่มจากการเป็นติ่งเนื้อ (polyps) ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีที่จะรู้ได้ว่ามีติ่งเนื้อร้ายอยู่ในลำไส้ใหญ่หรือไม่ ก็ต้องตรวจด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะกล่าวต่อไป

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้ อาการท้องผูกไม่น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ มักจะชอบกินอาหารเนื้อสัตว์มากๆ ไม่ค่อยออกกำลังกาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงกว่าจึงอาจมีโอกาสเป็นมะเร็ง ลำไส้ใหญ่มากกว่าคนทั่วไป
ทำอย่างไรจึงไม่เป็นโรคนี้ ก็ต้องกำจัดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งได้แก่ เปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร โดย ควบคุมอาหารการกินให้เน้นอาหารประเภทผัก ผลไม้ และกากใยอาหารให้มากๆ จะย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะในคนที่มักจะท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรือท้องผูกบ่อยๆ แต่ถ้าลองเน้นผักสด ผลไม้ กากใยมากขึ้นกว่าเดิมแล้วยังไม่ดีขึ้น คุณก็ควรพบแพทย์วินิจฉัยว่าควรใช้ยา ช่วยในระบบย่อยหรือไม่ นอกจากนี้แล้วยังควรเสริมด้วยโฟลิก แอซิด วิตามินซี แคลเซียม วิตามินอี และเซเลเนียม ลดอาหารประเภท เนื้อ ไขมันสัตว์ นอกจากเรื่องอาหารแล้วก็ควรงดบริโภคสิ่งที่เป็นมลพิษต่อสุขภาพ ได้แก่ แอลกอฮอล์ และบุหรี่ การออกกำลังกายก็มีความสำคัญมากเช่นกัน โดยที่ทางสมาคมโรคมะเร็งของสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำให้ ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที ซึ่งจะช่วยทำให้ไม่อ้วน มีสุขภาพทั่วไปที่แข็งแรง และลด ความเสี่ยงต่อมะเร็งลงได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า? 
เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ถ้าตรวจพบว่าเป็นและได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ จะได้ผลดีมาก โดยถ้าได้รับการรักษาก่อนที่มะเร็งจะกระจายออกไป จะมีอัตราการหายประมาณ 90 % แต่ถ้าเริ่มรักษาตอนที่ มะเร็งได้ลุกลามไปยังอวัยวะหรือต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงแล้ว จะมีอัตราการหายลดลงเหลือ 65 % แต่ถ้ามะเร็งได้ กระจายไปยังตับหรือปอดแล้ว อัตราการหายจะลดลงเหลือเพียง 8 % เท่านั้น คุณคงเห็นแล้วว่า ยิ่งตรวจพบมะเร็งได้เร็วและได้รับการรักษาเร็วเท่าไร โอกาสหายยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น คุณที่มีปัจจัยเสี่ยงตามที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบไปตรวจดูว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า

อาการของโรคนี้มีอะไรบ้าง? 
อาการที่พบได้ก็มีดังนี้ ? แรกๆจะไม่มีอาการอะไรเลย อาจมีเพียงอืดแน่นท้องบ้างเป็นครั้งคราว ? มีการเปลี่ยนแปลงของการถ่ายอุจจาระ เช่น จากที่เคยถ่ายแข็ง กลายเป็นถ่ายเหลว หรือกลับกัน หรืออุจจาระมีลักษณะลีบเล็ก ต่อเนื่องกันเกินกว่าสองสามวัน ? รู้สึกอยากจะถ่ายอุจจาระอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่ถ่ายเสร็จแล้ว ? ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ? ปวดเกร็งในท้องต่อเนื่องยาวนาน อาการเหล่านี้ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าผู้ที่มีอาการต้องป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะยังมีอีกหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการ เช่นนี้ได้ ดังนั้นถ้าหากคุณมีอาการเหล่านี้ หรือมีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาข้างต้น การไปให้หมอตรวจย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ รักษาอย่างไร?

การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่มีวิธีหลักอยู่ 3 วิธี ได้แก่
 การผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก
 การใช้ยาไปทำลายเซลล์มะเร็ง
 การทำลายเซลล์มะเร็งในตำแหน่งต่างๆ ด้วยการฉายรังสี
การเลือกวิธีในการรักษานั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งมากน้อยเพียงใด มีการลุกลาม หรือแพร่กระจายหรือไม่ และสภาพ ร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้นเหมาะสมกับวิธีใดมากที่สุด ทั้งนี้จะขึ้นกับการตัดสินใจของหมอที่รักษา

กันไว้ย่อมดีกว่าแก้นะคะ วิธีที่ดีที่สุดที่ขอแนะนำคือ ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ไว้ก่อนด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงให้เหลือ น้อยที่สุด และไปให้หมอตรวจตามแนวทางที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น อย่าคิดว่าไม่จำเป็นเพราะคุณไม่ได้มีอาการอะไรเลย เพราะถ้ามัวแต่รอจนมีอาการแล้วค่อยไปตรวจ มันก็อาจสายไปแล้วครับ 
ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน ก็ไม่อาจจะยื้อชีวิตคุณ หรือคนที่คุณรักได้เลย

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------


"ท้องผูก" สู่ปัญหาริดสีดวงในแม่ตั้งครรภ์ (M&C แม่และเด็ก)

           บ่อยครั้งปัญหาเล็ก ๆ ก็อาจเป็นปัญหาใหญ่ได้ โดยเฉพาะในแม่ตั้งครรภ์ เช่น อาการท้องผูก ซึ่งมักสร้างความรำคาญและทรมาน ยิ่งรายที่มีอาการท้องผูกรุนแรง และถ่ายนาน เส้นเลือดดำส่วนล่างของร่างกายอาจเกิดการโป่งพอง ทำให้เกิดริดสีดวงตามมา รวมทั้งอาจมีปัญหาต่อการคลอดได้

           เราจึงเดินทางมาที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อพูดคุยกับคุณหมอวนิชา ปัญญาคำเลิศ ผู้อำนวยการศูนย์สูติ-นรีเวช เกี่ยวกับเรื่องท้องผูกและริดสีดวง ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ในแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ คุณหมออธิบายว่า

           "ปัญหาแม่ตั้งครรภ์กับเรื่องท้องผูก ต้องอธิบายก่อนว่า เป็นเรื่องปกติ ที่แม่ตั้งครรภ์จะมีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ระบบต่าง ๆ ในลำไส้ ทำงานไม่ค่อยดี ฉะนั้นโอกาสที่แม่ตั้งครรภ์จะท้องผูกก็เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 นอกจากนี้มดลูกของแม่ตั้งครรภ์ก็จะเริ่มโตขึ้นและไปกดเส้นเลือดใหญ่ ทำให้การไหลเวียนของเส้นเลือดส่วนล่างของร่างกายช้าลง บ่อยครั้งแม่ตั้งครรภ์จึงมีปัญหาท้องผูกและริดสีดวงตามมา

           ...นอกจากนี้ยังมีเรื่องของยาในแม่ตั้งครรภ์ ทั้งยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็กและแคลเซียม คือในแม่ตั้งครรภ์ ธาตุเหล็กเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแม่ตั้งครรภ์มักจะได้จากอาหารไม่เพียงพอ ส่วนแคลเซียม ถ้าแม่ตั้งครรภ์ดื่มนมได้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้แคลเซียมเม็ด แต่แม่ตั้งครรภ์ที่ที่ดื่มนมไม่เก่งหรือทานแคลเซียมไม่เพียงพอ ก็อาจจำเป็นต้องได้แคลเซียมเม็ด ซึ่งแคลเซียมก็จะมีหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่จะทำให้แม่ตั้งครรภ์ท้องผูกได้ทั้งนั้น ส่วนจะผูกมากผูกน้อย ก็ขึ้นอยู่ที่ชนิดของแคลเซียม"

------------------------------------------------------------

เคล็ดลับแก้ปัญหาท้องผูก

เนื้อหาข่าว เดลินิวส์

ใครที่ท้องผูกบ่อย ๆ อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อระบบขับถ่ายได้
วันนี้มีเคล็ดลับป้องกันปัญหาท้องผูกเบื้องต้นมาฝาก

“ปัญหาท้องผูก” เรื่องทรมานสำหรับใครหลาย ๆ คน จากการวิจัยพบว่า ปัญหานี้มีใน
ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พบมากในช่วงวัยกลางคนขึ้นไป เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการรับ
ประทานอาหาร คือ ทานอาหารที่ไม่ค่อยมีกากใย ดื่มน้ำน้อย รวมทั้งการไม่ออกกำ
ลังกายทำให้ลำไส้ไม่มีการบีบตัว ผู้ที่มีอาการท้องผูกมักจะรู้สึก ไม่สบายท้อง บาง
รายอาจมีอาการคลื่นไส้เล็กน้อยร่วมด้วย เวลาเข้าห้องน้ำก็ต้องออกแรงเบ่ง ซึ่งบาง
ครั้งอาจเกิดอันตรายต่อระบบขับถ่าย ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ เป็นริดสีดวง
ทวาร จนอาจร้ายแรงถึงโรคมะเร็งลำไส้ได้ วันนี้จึงมีวิธีการแก้ปัญหาอาการท้องผู
กเบื้องต้นมาฝาก

@@@ ทานอาหารที่มีไฟเบอร์เยอะ ๆ เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่ว ผักผลไม้สด ฟักทอง
 ข้าวโพด หรือทานมะละกอสุกก็ได้ เพราะสาเหตุหลักของอาการท้องผูกคือ การ
ได้รับไฟเบอร์ในแต่ละวันไม่เพียงพอ

@@@ ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ไม่เร่งรีบทานอาหารจนเกินไป จะทำให้ช่วย
ระบบขับถ่ายในการย่อยอาหารเบื้องต้น

@@@ ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 แก้ว เพราะเวลาขับถ่ายจะช่วยทำให้อุจจาระนิ่ม
 และระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น

@@@ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ลำไส้ได้มีการขยับตัว โดย
เพียงแค่เดินหรือวิ่งก็ได้

@@@ ห้าม! กลั้นถ่ายอุจจาระโดยไม่จำเป็น เมื่อรู้สึกปวดควรรีบเข้าห้องน้ำ
ทันที หรือควรฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลา

@@@ ยาบางชนิดส่งผลต่ออาการท้องผูก ดังนั้น ไม่ควรรับประทานติดต่อ
กันเป็นระยะเวลานาน

ส่วนการแก้ปัญหาด้วยวิธีรับประทานยาถ่ายนั้น หากใช้บ่อย ๆ เป็นระยะเวลา
นาน ๆ จะไม่เกิดผลดีต่อระบบขับถ่าย เพราะจะส่งผลให้ร่างกายต้องใช้ยา
ตลอด ไม่สามารถขับถ่ายเองได้ และอาจต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นในอนาคต.
ประโยชน์ของการ ดีท็อกซ์ 5 ข้อ

1. ช่วยทำความสะอาดลำไส้ อุจจาระ แบคทีเรียที่เป็นโทษต่อร่างกาย และสารพิษต่างๆจะถูกชะล้างออกไป ลดการสะสมสารพิษเหล่านี้ เมื่อสารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกไป ลำไส้ของเราจะสามารถทำงานได้ตามปกติ

2. เป็นการบริหารกล้ามเนื้อลำไส้ ของเสียที่ตกค้างมีผลทำให้ลำไส้อ่อนแอลง และทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ การล้างลำไส้จึงเป็นการช่วยกล้ามเนื้อลำไส้ให้ทำงานได้มากขึ้น โดยปกติลำไส้มีหน้าที่กำจัดของเสีย ก็อาจจะทำได้ไม่สมบูรณ์นัก แต่ถ้ากล้ามเนื้อลำไส้แข็งแรงและทำงานได้อย่างเป็นจังหวะจะสามารถช่วยทำให้การผลักดันของเสียเช่น กากอาหารและ อุจจาระออกจากลำไส้ได้เร็วขึ้น และไม่เกิดสารตกค้างจนกลายเป็นพิษ

3. ทำให้ลำไส้มีขนาดเป็นปกติ เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ จะส่งผลให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไปก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา การสวนล้างลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัว ช่วยลด อาการบวมหรือโป่งพองของลำไส้ อันเนื่องมาจากการที่มีของเสียอุดตัน บริเวณนั้น ทำให้ลำไส้มีรูปร่างปกติตามธรรมชาติ ซึ่งการรักษาทางยา ทานอาหารบางอย่างเฉพาะ บางรายท้องเดินระยะหนึ่งแล้วจะมีอาการท้องผูก อุจจาระแข็ง หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อาจทำให้ลำไส้กลับคืนสู่รูปทรงปกติได้เพียง ระยะสั้นเท่านั้น

4. กระตุ้นจุดตอบสนองของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย อวัยวะทุก ส่วนจะมีการทำงานเชื่อมต่อกับลำไส้โดยจุดตอบสนอง การล้างลำไส้เป็นการช่วยกระตุ้นจุดที่ว่านี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกายโดยรวม เช่น ตับ ถุงน้ำดีตับอ่อน ไต ต่อมน้ำเหลืองและการหมุนเวียน ของเลือด เป็นต้น

5. ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% การสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือแร่ ร่างกายโดยรวมจะสามารถดูดซึมน้ำเหล่านั้นไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ เพื่อให้เซลล์เหล่านั้น ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับละลาย และเจือจางเมือกและตะกรันที่สะสมอยู่ในผนังลำไส้ให้ขับออกได้สะดวกขึ้น


ท้องผูก..อย่าคิดว่าไม่สำคัญ..

คนปกติจะถ่ายอุจจาระ 3 ครั้งต่อวัน ถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ผู้ที่ถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ประกอบกับการถ่ายลำบาก ต้องใช้เวลาเบ่งนานกว่าปกติ อุจจาระแข็ง หรือมีอาการเจ็บทวารหนักเวลาถ่าย ถือว่ามีอาการท้องผูก หากท้องผูกนานติดต่อกันเกิน 3 เดือน จัดว่าท้องผูกเรื้อรัง

วิธีดูแลตนเองเมื่อมีอาการท้องผูก
1.กินอาหารที่มีกากใยมากๆ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช

2.ดื่มน้ำมากๆ ไม่ควรดื่มกาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้อุจจาระแห้ง

3.การออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น

4.ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ลำไส้ใหญ่จะมีการเคลื่อนไหวทำให้เกิดความรู้สึกอยากถ่ายวันละ 1-2 ครั้ง มักเกิดขึ้นหลังตื่นนอนและหลังอาหาร หากกลั้นอุจจาระไว้ในช่วงนั้น โอกาสที่จะรู้สึกอยากถ่ายในวันนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นอีก จึงควรถ่ายให้เป็นเวลา โดยเฉพาะหลังตื่นนอน

5.ไม่ควรทำอย่างอื่นขณะขับถ่าย เช่น อ่านหนังสือ กรณีที่เป็นส้วมชักโครก ควรนั่งโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้มีแรงเบ่งมากขึ้น

6.หากจำเป็นต้องใช้ยาระบายควรปรึกษาแพทย์ และเริ่มใช้ยาระบายที่ช่วยให้เกิดการขับถ่ายอย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัยก่อน โดยเฉพาะยาที่ช่วยในการดูดน้ำเข้ามาในอุจจาระหรือลำไส้ หรือสารที่เพิ่มปริมาณกากอาหาร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น